ความกลัวการตกงานเพราะ AI พุ่งสูง: นักลงทุนควรรับมืออย่างไร? 

2025-06-06 | AI , การว่างงาน , ตลาดหุ้น , พลวัตของตลาด , สรุปตลาดประจำสัปดาห์

ตอนนี้อาจเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการเริ่มเป็นนักลงทุนหรือเรียนรู้ทักษะการเทรด เพราะเมื่อ AI เริ่มเข้ามาแทนที่แรงงาน คุณจะต้องมีทักษะในการสร้างรายได้ในโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วปัญญาประดิษฐ์ไม่ใช่แค่เทรนด์เทคโนโลยีสุดล้ำอีกต่อไป แต่กำลังกลายเป็นภัยคุกคามที่แท้จริงต่อการจ้างงาน และมันกำลังเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว 

คำเตือนล่าสุดเกี่ยวกับการตกงานเพราะ AI เริ่มชัดเจนมากขึ้นทุกวัน 

ซีอีโอของ Anthropic กล่าวว่าปัญญาประดิษฐ์อาจเข้ามาแทนที่งานระดับปฏิบัติการในสายออฟฟิศมากถึงครึ่งหนึ่ง และ อาจทำให้อัตราการว่างงานพุ่งสูงถึง 10 ถึง 20% ภายในเวลาเพียงง 5 ปี 

นี่ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนผ่านทางเทคโนโลยีแบบปกติ แต่มันคือคลื่นเศรษฐกิจที่กำลังสั่นสะเทือนวงการแรงงาน แล้วนักลงทุนควรรับมืออย่างไร? 

การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีไม่ใช่เรื่องใหม่ ตั้งแต่ยุคเครื่องจักรไอน้ำจนถึงสมาร์ทโฟน นวัตกรรมล้วนเข้ามาเปลี่ยนรูปแบบการทำงานของเราอยู่เสมอ แต่สิ่งที่แตกต่างในครั้งนี้คือ “ความเร็วในการเปลี่ยนแปลง” 

AI ไม่ได้แค่ทำงานแทนมนุษย์ แต่มัน “เรียนรู้” ปรับตัว และขยายขีดความสามารถได้อย่างไม่มีวันเหนื่อยล้า และนั่นคือสิ่งที่ทำให้มันกลายเป็นภัยคุกคามอย่างแท้จริงต่อแรงงานจำนวนมากในตลาด 

ดร. เดวิด แดงค์ กล่าวตรงไปตรงมาว่า 
หากภาคเศรษฐกิจทั้งระบบล่มสลาย คุณจะเห็นอัตราว่างงานพุ่งสูงถึง 90 เปอร์เซ็นต์ภายในเวลาเพียงสองเดือน นี่ไม่ใช่สิ่งที่โลกเคยเผชิญมาก่อน และเราจะไม่มีเวลาพอในการปรับตัว 

อุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบแล้วในตอนนี้ ได้แก่ งานบริการลูกค้า งานป้อนข้อมูล งานด้านกฎหมาย การวิเคราะห์การเงิน สื่อ และการผลิตคอนเทนต์ 

ภัยคุกคามจาก AI ไม่ได้อยู่ในเชิงทฤษฎีอีกต่อไป เพราะบริษัทจำนวนมากเริ่มลดจำนวนพนักงานอย่างจริงจัง ไม่ใช่เพราะขาดทุน แต่เพราะ AI ช่วยให้การดำเนินงานของพวกเขาทำได้เร็วขึ้นและประหยัดต้นทุนมากขึ้น 

การนำ AI เข้ามาใช้ในกระบวนการดำเนินธุรกิจ กำลังนำไปสู่การลดจำนวนพนักงานครั้งใหญ่ในบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำหลายแห่ง การปลดพนักงานเหล่านี้ไม่ใช่แค่ตัวเลขธรรมดา แต่สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในวิธีที่องค์กรใช้ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน ซึ่งมักแลกมาด้วยการลดบทบาทของแรงงานมนุษย์ 

Microsoft เพิ่งปลดพนักงานไปมากกว่า 6,000 คน รวมถึงวิศวกรซอฟต์แวร์และผู้จัดการโครงการ เพื่อปรับโครงสร้างให้สอดคล้องกับการมุ่งเน้นด้านโครงสร้างพื้นฐานของ AI 

LinkedIn ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ Microsoft ประกาศปลดพนักงาน 281 คน ในแคลิฟอร์เนีย โดยส่วนใหญ่เป็นวิศวกรซอฟต์แวร์และผู้เชี่ยวชาญด้าน machine learning 

Dell Technologies ลดจำนวนพนักงานทั่วโลกลง 12,000 ตำแหน่ง จากเดิม 120,000 เหลือ 108,000 คน เพื่อปรับองค์กรเข้าสู่ผลิตภัณฑ์และบริการที่ขับเคลื่อนด้วย AI 

Workday บริษัทด้านซอฟต์แวร์บริหารทรัพยากรบุคคล ปลดพนักงาน 1,750 คน หรือประมาณ 8.5 เปอร์เซ็นต์ของพนักงานทั้งหมด เพื่อเพิ่มการลงทุนในกลุ่มธุรกิจที่ขับเคลื่อนด้วย AI 

ตัวอย่างเหล่านี้สะท้อนเทรนด์ที่กำลังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง เมื่อบริษัทหันมาใช้เทคโนโลยี AI มากขึ้น พวกเขาก็มักจะปรับโครงสร้างองค์กร ลดตำแหน่งบางส่วน ขณะเดียวกันก็สร้างโอกาสใหม่ในสายงานอื่น 

สำหรับนักลงทุน การเปลี่ยนแปลงนี้คือทั้งความท้าทายและโอกาส พร้อมเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการติดตามข้อมูลอย่างต่อเนื่อง และปรับตัวให้ทันกับสภาพตลาดที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา 

ในอดีต เมื่ออัตราการว่างงานทะลุระดับ 5 เปอร์เซ็นต์ มักถือเป็นสัญญาณเตือนที่ชัดเจนต่อตลาด ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น? เพราะการมีตำแหน่งงานน้อยลงหมายถึง: 

  • การใช้จ่ายของผู้บริโภคลดลง 
  • การเติบโตทางเศรษฐกิจชะลอตัว 
  • กำไรของบริษัทลดลง 
  • และท้ายที่สุด อาจนำไปสู่การปรับฐานของตลาดหรือภาวะเศรษฐกิจถดถอย 

หาก AI เป็นตัวเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านการจ้างงานครั้งใหญ่ เราอาจได้เห็นการชะลอตัวทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรง และนี่คือประเภทของเหตุการณ์ที่ตลาดจะรีบสะท้อนราคาทันที 

ดังนั้น แม้ดัชนีตลาดหุ้นในปัจจุบันจะยังคงพุ่งสูงจากกระแสความหวังเรื่องนวัตกรรม แต่ก็อย่าแปลกใจหากจำนวนผู้ขอรับสิทธิประโยชน์ว่างงานจะกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่เขย่าตลาดรอบต่อไป 

ธนาคารกลางสหรัฐฯ กำลังจับตาดูตลาดแรงงานอย่างใกล้ชิด หากอัตราการว่างงานพุ่งสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ประวัติศาสตร์ชี้ให้เห็นว่าเฟดมีแนวโน้มจะเข้ามาแทรกแซง 

เช่นเดียวกับในปี 2020 มาตรการที่เฟดน่าจะเลือกใช้มีดังนี้: 

  • การปรับลดอัตราดอกเบี้ย 
  • การอัดฉีดสภาพคล่องในลักษณะ QE 
  • มาตรการสนับสนุนทางการคลัง 

สถานการณ์นี้อาจนำไปสู่ความย้อนแย้ง: เศรษฐกิจอ่อนแอแต่ตลาดหุ้นกลับฟื้นตัว หรือแม้แต่พุ่งแรงด้วยแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ 

นี่คือภาพที่คล้ายกับสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงโควิด ตลาดฟื้นตัวก่อนที่เศรษฐกิจจริงจะฟื้นตาม 

ดังนั้น แม้การว่างงานที่เกิดจาก AI จะสร้างความเจ็บปวด แต่ก็เปิดโอกาสให้กับนักลงทุนที่มองการณ์ไกลเช่นกัน 

แม้จะมีความเสี่ยงเรื่องการจ้างงาน แต่ AI ก็ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานอย่างมาก สำหรับบริษัทที่ปรับใช้เทคโนโลยีนี้ตั้งแต่เนิ่น ๆ กำไรขั้นต้นอาจ เพิ่มขึ้น ความเร็วในการดำเนินงานสูงขึ้น และต้นทุนลดลง 

สิ่งนี้อาจส่งผลเชิงบวกต่อ: 

  • หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีขนาดใหญ่ 
  • ผู้ให้บริการคลาวด์ 
  • ผู้ผลิตชิปอย่าง Nvidia และ AMD 
  • ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐานของ AI 
  • บริษัทซอฟต์แวร์บางแห่งที่คัดเลือกแล้ว 

สิ่งสำคัญคือการมองหาบริษัทที่ใช้ AI เพื่อเติบโต ไม่ใช่แค่เพื่อลดต้นทุนเท่านั้น 

ไม่ใช่เวลาที่จะตื่นตระหนก แต่เป็นเวลาที่ควรปรับตัว 

งานบางประเภทจะหายไป แต่ก็จะมีงานใหม่เกิดขึ้น ตัวอย่างเช่น: 

  • ผู้ฝึกสอน AI 
  • วิศวกรพัฒนา Prompt 
  • เจ้าหน้าที่บริหารความเสี่ยงและจริยธรรมด้าน AI 
  • ที่ปรึกษาด้านระบบอัตโนมัติ 

อย่างไรก็ตาม จะมีช่องว่างระหว่างการสูญเสียงานเดิมกับการสร้างงานใหม่ และนั่นคือจุดที่ความเสี่ยงด้านสังคมและเศรษฐกิจสูงที่สุด 

รัฐบาลและภาคธุรกิจต้องหยุดเพิกเฉยต่อภัยคุกคามนี้ และเริ่มลงทุนในโครงการฝึกอบรมและการปรับตัวตั้งแต่วันนี้ 

ในฐานะนักลงทุนหรือเทรดเดอร์ หน้าที่ของคุณคือการมองเห็นสิ่งที่คนอื่นมองข้าม 

หากการว่างงานจำนวนมากกลายเป็นประเด็นหลักของทศวรรษหน้า ผู้เล่นในตลาดที่พร้อมที่สุดจะเป็นกลุ่มที่: 

  • เข้าใจการเปลี่ยนแปลงเชิงมหภาค 
  • ตามเงินให้ทัน (ไปยังผู้ชนะจาก AI) 
  • ป้องกันความผันผวนไว้ล่วงหน้า 
  • ยืดหยุ่นต่อสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน 

สรุปคือ: ไม่จำเป็นต้องกลัวการว่างงานจาก AI แค่ต้องเตรียมตัวให้พร้อมเท่านั้น 

การว่างงานจาก AI ไม่ใช่ฉากในหนังไซไฟอีกต่อไป แต่มันคือความจริงที่ใกล้เข้ามาเร็วขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งอาจเปลี่ยนโฉมตลาดแรงงาน เศรษฐกิจ และพอร์ตของคุณ 

แต่ทุกการเปลี่ยนแปลงย่อมแฝงโอกาสไว้เสมอ 

ตลาดจะปรับตัว ผู้นำหน้าใหม่จะเกิดขึ้น และนักลงทุนที่มีวิสัยทัศน์จะใช้ช่วงเวลานี้ ไม่ใช่เพื่อแตกตื่น แต่เพื่อวางตำแหน่งให้ตัวเองนำหน้าเกม 

ตอนนี้คือเวลาที่ต้องเสริมทักษะ อัปเดตข้อมูล และควบคุมอนาคตทางการเงินของตัวเองไว้ให้ได้ 

เพราะแม้ว่า AI อาจแย่งงานไปจากคุณ แต่มันแย่งความได้เปรียบของคุณไม่ได้ เว้นแต่คุณจะยอมปล่อยให้มันทำ 


การเปิดเผยความเสี่ยง 
หลักทรัพย์ ฟิวเจอร์ส CFD และผลิตภัณฑ์ทางการเงินอื่นๆ มีความเสี่ยงสูงเนื่องจากความผันผวนของมูลค่าและราคาของเครื่องมือทางการเงินพื้นฐาน เนื่องจากความเคลื่อนไหวของตลาดที่ไม่พึงประสงค์และคาดเดาไม่ได้ อาจเกิดการขาดทุนมากกว่าการลงทุนเริ่มต้นของท่านในระยะเวลาอันสั้น    
โปรดตรวจสอบให้แน่ใจว่าท่านเข้าใจความเสี่ยงของการซื้อขายกับเครื่องมือทางการเงินแต่ละประเภทอย่างถ่องแท้ก่อนทำธุรกรรมกับเรา หากท่านไม่เข้าใจความเสี่ยงดังที่ได้อธิบายไว้ในนี้ ควรขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญอิสระ 

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ   
ข้อมูลที่ปรากฏในบล็อกนี้มีไว้เพื่ออ้างอิงทั่วไปเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาให้เป็นคำแนะนำการลงทุน ข้อเสนอแนะ คำเชิญ หรือการเสนอขายหรือซื้อเครื่องมือทางการเงินใดๆ ทั้งนี้ไม่ได้พิจารณาถึงวัตถุประสงค์การลงทุนหรือสถานการณ์ทางการเงินเฉพาะของผู้รับข้อมูลแต่ละราย ผลการดำเนินงานในอดีตไม่สามารถเป็นตัวบ่งชี้ที่เชื่อถือได้สำหรับผลการดำเนินงานในอนาคต Doo Prime และบริษัทในเครือไม่ให้การรับรองหรือรับประกันใดๆ เกี่ยวกับความถูกต้องหรือความสมบูรณ์ของข้อมูลนี้ และไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสียหรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากการใช้ข้อมูลนี้หรือลงทุนตามข้อมูลดังกล่าว  
กลยุทธ์ที่กล่าวถึงข้างต้นสะท้อนถึงความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญและมีไว้เพื่อการอ้างอิงเท่านั้น ไม่ควรใช้หรือพิจารณาเป็นพื้นฐานในการตัดสินใจซื้อขายหรือคำเชิญชวนให้เข้าทำธุรกรรมใดๆ Doo Prime ไม่รับรองความถูกต้องหรือความครบถ้วนของรายงานนี้และปฏิเสธความรับผิดใดๆ ต่อความเสียหายที่เป็นผลมาจากการใช้รายงานนี้ คุณไม่ควรพึ่งพารายงานนี้แต่เพียงอย่างเดียวเพื่อทดแทนการตัดสินใจของคุณเอง ตลาดมีความเสี่ยงเสมอ และการลงทุนควรใช้ความระมัดระวัง 

วิเคราะห์ตลาดเชิงลึกIconBrandElement

article-thumbnail

2025-07-03 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

ทองคำ vs บิตคอยน์: อะไรจะเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยในปี 2025? 

เมื่อพูดถึงการป้องกันความผันผวนของตลาด มีสินทรัพย์อยู่สองประเภทที่โดดเด่น: ทองคำและบิตคอยน์ หนึ่งในนั้นได้รับความไว้วางใจมานานนับพันปี ส่วนอีกตัวแม้จะอายุน้อยแต่ก็สร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับโลกการเงินแบบดั้งเดิมได้อย่างน่าทึ่ง  และในตอนนี้ ขณะที่ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์เริ่มคลี่คลายลง และตลาดต่างจับตาการเคลื่อนไหวครั้งต่อไปของพาวเวลล์ สินทรัพย์ทั้งสองนี้ก็กลายเป็นคู่แข่งตัวฉกาจในการดึงดูดเงินลงทุน  แล้วอะไรจะกลายเป็น “หลุมหลบภัยทางการเงิน” สำหรับที่เหลือของปี 2025? มาหาคำตอบไปพร้อมกัน  ทำไมเรื่องนี้ถึงสำคัญในตอนนี้  การเจรจาสันติภาพในตะวันออกกลาง รวมถึงความพยายามอย่างต่อเนื่องของทรัมป์ในการลดความตึงเครียดระดับโลก ได้ช่วยสลายความเสี่ยงระยะสั้นครั้งใหญ่ ราคาน้ำมันก็เริ่มเย็นลง ขณะที่ความคาดหวังเรื่องเงินเฟ้อก็เริ่มลดลงเช่นกัน นั่นหมายความว่า ความสนใจของตลาดจะหันไปจับตาธนาคารกลางสหรัฐว่าจะเริ่มลดดอกเบี้ยเมื่อใด  นี่คือช่วงเวลาสำคัญที่ทองคำและบิตคอยน์จะได้พิสูจน์ว่าใครคือผู้นำตัวจริงในฐานะ “สินทรัพย์ปลอดภัย” ทั้งสองต่างมีแนวโน้มไปได้ดีเมื่อค่าเงินดอลลาร์อ่อนตัว ทั้งสองได้ประโยชน์จากอัตราผลตอบแทนที่แท้จริงลดลง และทั้งสองยังดึงดูดเม็ดเงินจากนักลงทุนที่วิตกกังวลและต้องการปกป้องอำนาจการซื้อ  แต่ในวันนี้ ใครคือผู้ที่ยืนเหนือกว่า?  ทองคำ vs บิตคอยน์: เปรียบเทียบแบบชัดๆ ในปี 2025  ก่อนจะลงลึกว่าอะไรเป็นตัวขับเคลื่อนตลาดของทั้งสองฝั่ง มาดูภาพรวมกันก่อนว่า ทองคำและบิตคอยน์แตกต่างกันอย่างไรในปัจจัยพื้นฐานที่นักลงทุนให้ความสำคัญมากที่สุดในตอนนี้  ตอนนี้คุณก็เห็นภาพรวมแล้ว ต่อไปมาดูกันว่าทำไมทองคำอาจยังเปล่งประกายได้อีกในปีนี้ และอะไรอาจเป็นแรงผลักดันให้บิตคอยน์พุ่งแรงยิ่งขึ้น  ทองคำ: เป้าหมายถัดไปอาจอยู่ที่ 4,000 ดอลลาร์จริงหรือ?  มาเริ่มกันที่ทองคำ ล่าสุดราคาทะยานขึ้นไปแตะระดับสูงสุดใหม่ใกล้ 3,500 ดอลลาร์ ก่อนจะย่อตัวลงเล็กน้อย  อะไรคือปัจจัยหนุน? เป็นผลจากหลายปัจจัยที่ประจวบเหมาะ ทั้งอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลที่ลดลง การเข้าซื้อของธนาคารกลาง และความกังวลเรื่องเสถียรภาพหนี้ในระยะยาว […]

article-thumbnail

2025-06-27 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

การเจรจาสันติภาพจะพาดัชนีหุ้นทำจุดสูงสุดใหม่อีกครั้งหรือไม่? 

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดทั่วโลกต่างเตรียมรับมือกับสถานการณ์เลวร้าย น้ำมันพุ่งแรง ทองคำทะยาน พาดหัวข่าวเต็มไปด้วยความตึงเครียดว่าอาจเกิดสงคราม แต่ในแบบฉบับของตลาดการเงิน ทุกอย่างกลับพลิกอย่างรวดเร็ว  ตอนนี้ ท่ามกลางกระแสข่าวว่าทรัมป์กำลังผลักดันข้อตกลงสันติภาพระหว่างอิหร่านกับอิสราเอล (ซึ่งเราคาดการณ์ไว้ในบทความสัปดาห์ก่อน) บรรยากาศในตลาดเริ่มเปลี่ยน ความกังวลต่อความเสี่ยงสงครามเริ่มคลี่คลาย ราคาน้ำมันเริ่มย่อตัว สินทรัพย์ปลอดภัยเริ่มเย็นลง ขณะที่ตลาดหุ้นเริ่มกลับมาฟื้นตัว  คำถามสำคัญในตอนนี้คือ: การเจรจาสันติภาพครั้งนี้ จะส่งผลให้ตลาดหุ้นพุ่งทำจุดสูงสุดใหม่อีกครั้งหรือไม่?  มาหาคำตอบกัน  จากความกลัวสงครามสู่ความหวังลดดอกเบี้ย  ตลาดไม่ชอบความไม่แน่นอน พาดหัวข่าวสงครามคือความไม่แน่นอนขั้นสุด นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมหุ้นถึงแกว่งตัวในกรอบแคบตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่เมื่อการเจรจาสันติภาพเริ่มมีแรงส่ง เส้นทางใหม่ก็กำลังเปิดขึ้น  ตอนนี้จุดโฟกัสไม่ใช่คำถามว่า “สงครามจะปะทุหรือไม่?” อีกต่อไป แต่มันกำลังเปลี่ยนเป็น “เฟดจะลดดอกเบี้ยเมื่อไหร่?”  นั่นคือกุญแจสำคัญ เพราะยิ่งเฟดลดดอกเบี้ยเร็วเท่าไหร่ ตลาดหุ้นก็ยิ่งมีโอกาสไปได้แรงเท่านั้น  ทำไมข้อตกลงสันติภาพอาจเป็นตัวจุดชนวนที่สมบูรณ์แบบให้หุ้นพุ่ง  ข้อตกลงหยุดยิงที่น่าเชื่อถือสามารถดึงแรงกดดันมหาศาลออกจากระบบได้:  พูดง่ายๆ คือ ข้อตกลงสันติภาพอาจปูทางให้เกิดการรีบาวด์ในตลาดหุ้นวงกว้าง S&P 500 กำลังเข้าใกล้ระดับสูงสุดในรอบล่าสุด ขณะที่ Nasdaq ยังคงแข็งแกร่ง เมื่อความเสี่ยงจากสงครามลดลง บรรดานักลงทุนฝั่งกระทิงอาจเข้าควบคุมเกมได้  ทรัมป์ vs พาวเวลล์: ตัวเร่งตลาดคนถัดไป?  ทรัมป์ไม่เคยปิดบังว่าเขาต้องการดอกเบี้ยต่ำ เขาเคยโจมตีพาวเวลล์ในที่สาธารณะว่าเดินเกมช้าเกินไป  ในอีกด้าน พาวเวลล์กำลังเดินบนเส้นด้าย การสิ้นสุดสงครามทำให้เขาขยับไปสู่การลดดอกเบี้ยได้ง่ายขึ้นในระดับหนึ่ง แต่ภาษีนำเข้าชุดใหม่ของทรัมป์และแรงกดดันเงินเฟ้อที่ยังค้างอยู่ […]

article-thumbnail

2025-06-20 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

สงครามอิหร่าน-อิสราเอล: ราคาน้ำมันจะพุ่งถึง $100 และทองจะทะยานแตะ $4,000 หรือไม่? 

ตะวันออกกลางกลับมาเป็นจุดศูนย์กลางของความตึงเครียดในตลาดโลกอีกครั้ง และครั้งนี้ไม่ใช่แค่การซ้อมรบ ความขัดแย้งที่รุนแรงขึ้นระหว่างอิหร่านและอิสราเอลได้ปะทุเป็นสงครามเต็มรูปแบบ โดยมีเป้าหมายเป็นแหล่งน้ำมัน โรงกลั่น และโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ  ผลกระทบคืออะไร? ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มสูงขึ้นอาจทำให้ราคาน้ำมันพุ่งทะลุ $100 และราคาทองคำทะยานสู่ระดับใหม่ใกล้ $4,000  แต่เรื่องนี้ไม่ใช่แค่เป้าหมายราคาซื้อขาย เพราะผลกระทบแผ่กระจายไปถึงค่าเงิน อัตราเงินเฟ้อ คาดการณ์ดอกเบี้ย และพฤติกรรมนักลงทุน  และนี่คือภาพรวมของสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น พร้อมสิ่งที่นักเทรดและนักลงทุนควรจับตามองต่อไป  สงครามเต็มรูปแบบระหว่างอิหร่าน–อิสราเอล   สิ่งที่ทำให้ความขัดแย้งครั้งนี้แตกต่างคือขนาดและความตรงไปตรงมา ทั้งสองชาติพุ่งเป้าโจมตีโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำมันของกันและกันโดยตรง ตั้งแต่โรงกลั่นของอิหร่านไปจนถึงคลังเก็บน้ำมันของอิสราเอล  เรากำลังหลุดจากโลกของสงครามตัวแทนหรือการก่อวินาศกรรมลับ นี่คือสงครามเปิดที่มีห่วงโซ่อุปทานโลกตกเป็นเป้าหมาย  และนั่นพาเรามาถึงจุดยุทธศาสตร์อย่างช่องแคบฮอร์มุซ  ประมาณ 20% ของอุปทานน้ำมันทั่วโลกต้องผ่านเส้นทางเดินเรือสำคัญนี้ การหยุดชะงักใดๆ อาจทำให้ราคาน้ำมันพุ่งแตะระดับสามหลักได้ภายในข้ามคืน และในอดีต แค่มีการขู่ปิดช่องแคบก็เพียงพอจะจุดชนวนให้ราคาน้ำมันพุ่งกระฉูดแล้ว  หากอิหร่านตัดสินใจปิดช่องทาง หรือการขนส่งกลายเป็นความเสี่ยงเกินไป ราคาน้ำมันดิบเบรนต์ที่ระดับ $110–120 จะไม่ใช่การคาดการณ์ที่เกินจริงอีกต่อไป แต่นี่คือ “กรณีฐาน” ที่มีโอกาสเกิดขึ้นจริง  น้ำมันจะพุ่งทะลุ $100 หรือไม่?  ราคาน้ำมันเริ่มตอบสนองต่อความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้น ฟิวเจอร์สน้ำมัน WTI และ Brent ต่างพุ่งขึ้นจากการคาดการณ์ว่าการหยุดชะงักของอุปทานอาจทำให้ตลาดที่เปราะบางอยู่แล้วตึงตัวขึ้นไปอีก บวกกับการเก็งกำไรและต้นทุนประกันเรือบรรทุกที่เพิ่มขึ้น ทำให้เห็นภาพชัดว่าราคาน้ำมันมีแนวโน้มจะแหวกแนวต้านสำคัญได้อย่างรวดเร็ว  ในเชิงเทคนิค ราคาน้ำมันกำลังทดสอบเส้นแนวโน้มขาลงหลักที่ทำหน้าที่เป็นแนวต้านมาตั้งแต่ปี 2566 […]